วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายให้ นายวริทธิ์ สมทรง ผู้อำนวยการกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 1 กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมบูรณาการระหว่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการ เพื่อหารือประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและแนวทางการดำเนินการ: กรณีปัญหาการซุกซ่อนฝังกลบกากสารพิษและขยะอิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานกลุ่มจีนเทา โดยมี พลโท สามารถ คงสาย ผู้อำนวยการสำนักบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน กอ.รมน. เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วย ผู้แทนจากกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก กรมศุลกากร กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมควบคุมมลพิษ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม สำนักบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน กอ.รมน. ชั้น 1 อาคารเพชรรัตน์ กอ.รมน.

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากคราวลงพื้นที่ตรวจสอบ บริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย) และโกดังเก็บสารเคมีอันตรายหลายพันตัน (โกดังภาชี) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 พบปัญหาด้านการจัดการกากสารพิษและขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะจากกลุ่มโรงงานรีไซเคิล ลำดับที่ 101, 105 และ 106 ซึ่งจากการสำรวจพบว่าในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีโรงงานประเภทลำดับที่ 106 ของกลุ่มผู้ประกอบการจีนเทา จำนวนมากถึง 40 แห่ง (ข้อมูลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) โดยปัญหาหลักที่พบคือ บุคลากรภาครัฐไม่เพียงพอ กฎหมายมีบทลงโทษน้อย และการขาดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน

ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ปัญหาการซุกซ่อนฝังกลบกากสารพิษและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้จำกัดเพียงในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเท่านั้น แต่ยังตรวจพบในพื้นที่จังหวัดอื่น อาทิ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร สมุทรปราการ ระยอง และชลบุรี ในลักษณะการกระทำผิดเป็นขบวนการเครือข่าย โดยมีเส้นทางการนำเข้าผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มีการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อลักลอบนำเข้ามาในประเทศ และใช้วิธีการกำจัด/บำบัดที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือทีมสุดซอย เดินหน้ากวาดล้างผู้กระทำผิดที่สร้างความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรม และดำเนินคดีความผิดตามบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนี้
1) การดำเนินคดีทางอาญา: การครอบครองวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งหากมีโทษต่ำกว่า 3 ปี จะทำให้ไม่สามารถออกหมายจับผู้กระทำผิดได้ จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 และมาตรา 237 ซึ่งมีโทษสูงกว่า
2) การออกคำสั่งทางปกครอง: อาทิ การออกคำสั่งปิดโรงงาน ซึ่งมีผลให้เพิกถอนใบอนุญาตการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน รวมถึงการให้ระงับการฝ่าฝืนหรือกำจัดวัตถุอันตราย หรือผลักดันของเสียอันตรายกลับสู่ประเทศต้นทาง
3) การดำเนินคดีทางแพ่ง: กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการฟ้องคดีแพ่งควบคู่เสมอ
4) โรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ส่วนโรงงานที่อยู่ในเขตประกอบการ แม้ไม่ต้องขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานอย่างเคร่งครัด

ขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. …. ฉบับใหม่ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการของเสียอุตสาหกรรมให้เป็นระบบ เน้นความสำคัญในการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อีกทั้งกระบวนการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจะเพิ่มการทำประกันภัยหรือวางหลักประกันทางสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ควบคู่ดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานให้ครอบคลุม ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ กอ.รมน. จะจัดทำข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์และแนวคิดการขับเคลื่อนแบบองค์รวมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาร่วมทำบันทึกข้อตกลงในการสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งจัดกิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูล ตลอดจนกำหนดแผนงานและขั้นตอนการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหากากสารพิษและขยะอิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมาย ปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในระยะยาวต่อไป


#กรมโรงงานอุตสาหกรรม #กรมโรงงาน #กรอ #DIW #MIND #กระทรวงอุตสาหกรรม #saveอุตสาหกรรมไทย #saveสิ่งแวดล้อม #พระนครศรีอยุธยา #กากอุตสาหกรรม #เอกอุทัย #โกดังภาชี
