กรมโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของ นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เดินหน้าตรวจสอบโรงงานในความรับผิดชอบและจัดการปัญหากากอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น ตามนโยบายนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอาผิดผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้ถึงที่สุดในทุกกรณี เพื่อปราบปรามการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมให้สิ้นซาก โดยล่าสุดมีความคืบหน้าของอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างที่ถูกดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยศาลจังหวัดฉะเชิงเทรามีคำพิพากษาลงโทษผู้บริหาร “บริษัท เอวายแอลพี จำกัด” ทั้งจำคุกและปรับ ในความผิดประกอบกิจการโรงงานและครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนสืบทราบเบาะแสว่ามีการประกอบกิจการรีไซเคิลโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงสั่งการทีมปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง นำหมายศาลจังหวัดฉะเชิงเทราเข้าตรวจค้น “เอวายแอลพีฯ“ ในตำบลแปลงยาว อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา พบเป็นโรงงานเถื่อนทุนจีน มีร่องรอยการคัดแยกเศษโลหะ สกัดโลหะ และรีไซเคิลเศษพลาสติก รวมถึงพบกองกากอุตสาหกรรมจำนวนมากในบริเวณด้านในและนอกอาคารโกดัง 9 หลัง ทั้งเศษวัสดุ พวกทองแดง ทองเหลืองชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้แล้ว ชิ้นส่วนเครื่องจักร เศษตะกรัน กากตะกอนโลหะ เศษโลหะบัดกรี และของเสียอื่น จึงอายัดสิ่งของทั้งหมดและจับกุมผู้ต้องหาทันที พร้อมแจ้งความดำเนินต่อสถานีตำรวจภูธรแปลงยาว

“จากข้อมูลหลักฐานพบว่า พื้นที่ถูกสร้างเป็นโกดังให้นักลงทุนมาเช่าต่อ ลักลอบประกอบกิจการรีไซเคิลอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งกรณี เอวายแอลพีฯ เป็นความผิดคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ ทำให้การดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายไม่สามารถยุติคดีโดยการเปรียบเทียบปรับได้ ต้องแจ้งความดำเนินคดีและส่งอัยการส่งฟ้องศาลเท่านั้น” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา แจ้งความดำเนินคดี ความผิด 3 ข้อหา คือ 1) ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2) ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 โทษจำคุกไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3) ครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง

จนในที่สุด ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรามีคำพิพากพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ 546/2568 และคดีหมายเลขแดงที่ อ 560/2568 ลงวันที่ 27 มีนาคม 2568 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นโจทก์ และบริษัท เอวายแอลพี จำกัด พร้อมผู้บริหาร เป็นจำเลย ดังนี้
1) บริษัท เอวายแอลพี จำกัด มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ปรับ 175,000 บาท และความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
2) ผู้จัดการโรงงาน (ขอสงวนชื่อ) มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ให้จำคุก 3 ปี 3 เดือน ปรับ 175,000 บาท โดยโทษจำคุกรอการลงโทษ 2 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวัตถุอันตรายของกลางตามฟ้องในคดี ศาลได้ให้ส่งมอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบดำเนินการบำบัด/กำจัดให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันชำระเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่ทางราชการ ทั้งนี้ คำพิพากษาจากศาล จะปรากฎเป็นหลักฐานให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบประวัติสถานประกอบการได้ในอนาคตอีกด้วย โดยกรมโรงงานฯ จะไม่ปล่อยปละละเลยต่อการกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน และจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด


#กรมโรงงานอุตสาหกรรม #กรมโรงงาน #กรอ #DIW #MIND #กระทรวงอุตสาหกรรม #saveอุตสาหกรรมไทย #saveสิ่งแวดล้อม #โรงงานรีไซเคิล #ฉะเชิงเทรา #เอกนัฏ #รมวขิง #เอกนัฏเอฟซี
